เวลาเราเจอบทความดีๆ เรามักพอจำได้เลาๆ แต่พอจะกลับไปหาเรื่องราวมาอ่านให้ละเอียด กลับหาไม่เจอ ผมเลยถือเอาเพจนี้ เป็นที่เก็บความทรงจำดีๆ ที่ผ่านเข้ามาในระหว่างวันครับ
ช่วงนี้ ชอบอ่าน ชอบฟังนิทานมาก เพราะอยากมีนิทานสะสมอยู่ในร่างกาย เอาไว้เล่าให้ลูกฟัง สำหรับการเล่านิทานที่บ้านเรา กลายเป็นวิธีการสื่อสารเรื่องการเรียนรู้บทเรียนชีวิตผ่านนิทานที่ฝากแง่มุมดีๆ ให้เรามีกำลังใจในการดำเนินชีวิตต่อไป และเพิ่มความเข้มแข็งในการมองโลกด้านบวก ให้มีต่อไปเรื่อยๆ เรื่อยๆ
วันนี้ ผมได้อ่านนิทานผ่านเพจพี่ Prakal's blog ซึ่งผมเป็นแฟนเพจมาตลอด เป็นขนาดถึงเอางานเขียนของพี่ประคัลภ์ ปัณฑพลังกูร ไปอ้างอิงในงาน IS ขณะที่ผมเรียนปริญญาโทเสียด้วย ติดตามอ่านด้วยกันครับ
บั๊ดลงมือแกะห่อช็อกโกแลตพลางจินตนาการถึงรสชาติเข้มข้นหวานมันที่กำลังจะแตะลิ้นในอีกไม่กี่วินาทีข้างหน้า แต่แล้วจู่ ๆ ก็มีเสียงร้อง เรียกชื่อเขาดังมาจากหน้าบ้าน
![]() |
พี่เข็ม๗ขวบ ปลาทู๕ขวบ -เริ่มว่ายน้ำได้แล้ว ดำน้ำโชว์กล้องใหม่ป่าปี๊ |
![]() |
พี่เข็ม๗ขวบ ปลาทู๕ขวบ ไปเที่ยวมูร่าฟาร์ม หัดทำไอศรีมกับพิซซ่า ที่ฉะเชิงเทรากัน |
![]() |
พี่เข็ม๗ขวบ น้องทู๕ขวบ ไปเที่ยวหัวหินกัน พักซีเครท การ์เด้น |
นิทานสีขาว เรื่อง ช็อคโกแลต ของท่านผู้เขียนคนเดิม ดร.อาจอง ชุมสาย ณ อยุธยา ซึ่งอยู่ในหนังสือนิทานสีขาว ของสำนักพิมพ์ฟรีมายด์ มาให้อ่านกันอีกเรื่องหนึ่งครับ เผื่อว่าจะได้แง่คิดสอนใจ และจะช่วยลดความเหนื่อยล้าจากการทำงานลงได้ไม่มากก็น้อยครับ
บั๊ดเป็นเด็กชายตัวเล็ก ๆ อายุ 10 ขวบ วันหนึ่งป้าของบั๊ดมาเยี่ยมครอบครัวของบั๊ดที่บ้าน ป้าเพิ่งไปเที่ยวต่างประเทศมาจึงซื้อของมาฝาก พ่อ แม่ และบั๊ดมากมาย แต่ที่บั๊ดเห็นแล้วตาลุกวาวคือช็อกโกแลตแท่งโตที่ป้าบอกว่าเป็นยี่ห้อที่อร่อยที่สุดของประเทศนั้น
ความจริงบั๊ดเป็นเด็กเอื้อเฟื้อคนหนึ่ง แต่ครั้งนี้เขาเลือกที่จะเก็บช็อกโกแลตไว้กินคนเดียว เพราะเป็นสิ่งที่เขาชอบมาก ดังนั้นเมื่อป้ากลับไปแล้วบั๊ดจึงคว้าช็อกโกแลตแล้ววิ่งเข้าไปในห้องนอนของตัวเองทันทีโดยที่พ่อและแม่ไม่ทันได้สังเกตเห็น
“เอาเข้ามากินในห้องอย่างนี้ไม่มีใครแย่งเราได้ เราจะได้กินช็อกโกแลตแท่งนี้ให้เต็มที่ไปเลย” บั๊ดพูดกับตัวเองด้วยความกระหยิ่มยิ้มย่อง
![]() |
ภาพที่ร้านอาหาร หัวหิน |
“บั๊ด บั๊ด ยู้ฮู! บั๊ด”
เสียงเรียกแบบนี้คงเป็นใครไปไม่ได้นอกจากเพื่อน ๆ ของเขาเอง พวกนั้นคงชวนไปเตะฟุตบอลเหมือนทุกวัน แต่วันบั๊ดแสร้งทำหูทวนลมเสีย เพราะเขาอยากกินช็อกโกแลตมากกว่าออกไปวิ่งเล่น
“บั๊ด บั๊ด เฮ้! บั๊ด อย่ามาทำไก๋ เรารู้นะว่านายอยู่บ้าน นั่นไง รองเท้านายวางอยู่นั่น เราเห็นนะเพื่อน”
เพื่อนของบั๊ดฉลาดเป็นกรด บั๊ดจึงต้องวางช็อกโกแลตแล้ววิ่งไปที่หน้าต่าง
“โทษทีเราหลับอยู่ พวกนายมีอะไรหรือเปล่า” บั๊ดชะโงกหน้าออกไปถามจึงได้รู้ว่าเพื่อน ๆ มากันหลายคนทีเดียว เพื่อนคนที่ตะโกนเรียกบั๊ดตอบว่า
“จะมีอะไรล่ะ ก็มาชวนไปเตะบอลน่ะสิ นายนัดพวกเราเองนะ จำไม่ได้รึไง”
“วันนี้เราไปไม่ได้แล้ว พวกนายไปเล่นกันก่อนเถอะ”
“ทำไมล่ะ”
“เรา…” บั๊ดคิดคำแก้ตัว “อ้อ ใช่แล้ว เราต้องทำการบ้าน”
“การบ้านอะไร” เพื่อนอีกคนถามขึ้น บั๊ดจึงได้รู้ว่ามีคนที่เรียนห้องเดียวกันกับเขาปะปนอยู่ในกลุ่มนั้นด้วย บั๊ดตกใจ “ไม่มีสักหน่อยนี่นา” เพื่อนห้องเดียวกันคนนั้นหันไปพูดกับคนอื่น ๆ แล้วเด็กชายที่ตะโกนเรียกบั๊ดจึงร้องถามบั๊ดว่า
“เฮ้ บั๊ด นายเป็นอะไรกันแน่..หรือว่าพ่อซื้อเกมใหม่มาให้แล้วแอบเล่นคนเดียว..ดีล่ะ พวกเราจะขึ้นไปบุกห้องนอนเพื่อเล่นเกมสุดมันนั้นด้วย”
‘ถ้าพวกนี้มาเห็นช็อกโกแลตเรา เราก็จำต้องแบ่งให้ แล้วจะเหลือกินเองสักเท่าไรล่ะ’ สมองของบั๊ดคิดเรื่องช็อกโกแลตขึ้นมาทันที แล้วปากเขาก็ร้องขึ้นเร็วเท่าความคิดว่า
“ไม่มี ๆ ไม่มีอะไรทั้งนั้น เอาล่ะ ๆ เราจะลงไปเดี๋ยวนี้ พวกนายรออยู่ตรงนั้นแหละ”
พูดจบบั๊ดก็วิ่งกลับมาที่เตียงนอนแล้วเอาช็อกโกแลตที่แกะค้างไว้แต่ยังไม่ได้กินแม้แต่น้อยซุกไว้ใต้ผ้าปูที่นอน เพราะเป็นที่ที่เขาแน่ใจว่าจะปลอดภัยจากมนุษย์ทุกคนในโลก จากนั้นจึงวิ่งลงไปหาเพื่อน ๆ ที่รออยู่ด้านล่าง
เด็ก ๆ เล่นฟุตบอลกันตั้งแต่บ่ายถึงเย็นจึงชวนกันเลิก วันนี้ทุกคนยังไม่กลับบ้านของตัวเองทันที แต่กลับชวนกันไปเล่นที่บ้านของบั๊ดต่อ บั๊ดซึ่งมีใจพะวงถึงแต่ช็อกโกแลตใต้ผ้าปูที่นอนอยู่ตลอดเวลาจำต้องตอบรับคำขอของเพื่อนๆ อย่างเสียไม่ได้
ปกติเวลาบั๊ดชวนเพื่อน ๆ มาเล่นที่บ้าน เขาจะพาเพื่อน ๆ ขึ้นไปเล่นบนห้องนอน แต่วันนี้บั๊ดไม่เอ่ยปากชวนใครขึ้นไปบนห้องนอนของเขาเลย ดีที่แม่ของบั๊ดทำขนมอบไว้จึงนำขนมอบและน้ำหวานมาให้บั๊ดและเพื่อน ๆ กินกันอย่างอิ่มหนำสำราญ ทุกคนสนุกสนานเฮฮายกเว้นบั๊ด แต่ก็ไม่มีใครสังเกตเห็น
‘เมื่อไรเจ้าพวกนี้จะกลับไปเสียทีนะ เราเสียเวลาอยู่กับพวกมันมาทั้งวันแล้ว เราอยากกินช็อกโกแลตของเราเสียที’ บั๊ดคิดซ้ำไปซ้ำมาด้วยความหงุดหงิด
กระทั่งถึงเวลาอาหารเย็น เด็ก ๆ จึงขอตัวกลับบ้าน บั๊ดดีใจมากแต่ต้องเก็บซ่อนอาการไว้ ครั้นเพื่อน ๆ กลับไปจนหมดแล้ว บั๊ดจึงรีบวิ่งขึ้นบันไดแต่สวนกับพ่อที่เดินลงมา และถามบั๊ดว่า
“ลูกเห็นช็อกโกแลตที่ป้าซื้อมาฝากบ้างไหม เห็นป้าบอกว่าอร่อยนักหนา พ่อก็เลยจะชิมดูเสียหน่อยว่ารสชาติเป็นอย่างไร แต่หาเท่าไรก็หาไม่เจอสักที”
บั๊ดอึก ๆ อัก ๆ เพราะไม่ค่อยอยากแบ่งช็อกโกแลตให้ใคร แต่เมื่อเป็นพ่อก็ไม่อาจปฏิเสธได้ ดังนั้นเขาจึงพาพ่อไปที่ห้องนอนและเปิดผ้าปูที่นอนออก ทันทีที่ได้เห็นของวางอยู่ สองพ่อลูกร้องออกมาด้วยความตกใจ
ช็อกโกแลตแท่งนั้นยังวางอยู่ที่เดิม แต่ไม่อยู่ในสภาพที่จะกินได้อีกต่อไป เนื่องจากกองทัพมดได้จัดการกัดกินช็อกโกแลตแท่งนั้นจนกลายเป็นรูพรุนไปเสียทั้งแท่ง พ่อของบั๊ดจึงต้องเอาช็อกโกแลตแท่งนั้นไปทิ้งถังขยะก่อนจะมาสอบถามความจริงจากบั๊ดซึ่งทำหน้าเหมือนจะร้องไห้อยู่รอมร่อ
เมื่อรู้ความจริงทั้งหมดแล้ว พ่อก็พูดกับบั๊ดว่า “เพราะลูกแกะซองช็อกโกแลตทิ้งไว้ มดจึงได้กลิ่นและไปบอกเพื่อน ๆ ของมันให้มากินช็อกโกแลตด้วยกัน นั่นเป็นเพราะพวกมันไม่หวงสิ่งดี ๆ ไว้กับตนเพียงตนเดียว แต่รู้จักแบ่งปันสิ่งดี ๆ นั้นให้กับเพื่อน ๆ ของมันด้วย มดทุกตัวจึงได้กินช็อกโกแลตอร่อยแท่งนี้อย่างมีความสุข แต่สำหรับลูก ลูกคิดแต่จะกินให้อร่อยคนเดียว อยากมีความสุขเพียงคนเดียว สุดท้ายลูกก็จะไม่เหลืออะไรอย่างนี้เอง จำไว้นะ สิ่งดี ๆ มีไว้แบ่งปัน มิใช่เก็บไว้กับตัวเอง”
บั๊ดปล่อยโฮด้วยความเสียใจที่ตัวเองตระหนี่ไม่รู้จักแบ่งปันสิ่งดี ๆ เพื่อคนอื่น จึงต้องเสียช็อกโกแลตไปทั้งหมด ต่อไปนี้เขาจะทำตัวเสียใหม่อย่างที่พ่อสอน
พ่อกอดบั๊ดและปลอบเขาอย่างอ่อนโยน
บทสรุปของผู้แต่ง
เพียงแค่แบ่งปันสิ่งดี ๆ ที่เรามีอยู่แล้วให้คนอื่นบ้าง ไม่ต้องมากมาย แบ่งให้เขาเท่าที่เราจะให้ได้ และเพียงพอที่จะทำให้เราเห็นรอยยิ้มสวย ๆ และได้ยินเสียงหัวเราะดัง ๆ ของเขาก็พอ
การแบ่งปันอาจจะทำให้เราเหลือสิ่งที่ทำให้เรามีความสุขน้อยลง แต่จะเพิ่มกลิ่นแห่งความสุขให้อบอวลอยู่ในโลกมากขึ้น และเราเองก็จะ ได้รับความสุขเพิ่มขึ้นอีกจากเรื่องดี ๆ ที่เราทำลงไป ก็เหมือนเวลาเราเล่าเรื่องตลกให้ใครฟังนั่นล่ะ เราไม่ได้ต้องการเงินทองจากเขาสักหน่อย เราแค่อยากให้เขายิ้มหรือหัวเราะไปกับเรื่องที่เราเล่า แค่นั้นเองที่เราอยากเห็น และแค่ได้เห็นก็ทำให้เรามีความสุขได้แล้ว
อ่านจบแล้วรู้สึกอย่างไรกันบ้างครับ สิ่งดีๆ ที่เรามี เราก็ควรจะแบ่งปันให้คนอื่น ในมุมของผมเอง เรื่องของความรู้ก็เช่นกัน หัวหน้างาน และผู้จัดการบางคน ที่เป็นคนเก่ง แต่ไม่ค่อยแบ่งปันความรู้ให้กับลูกน้อง สุดท้ายลูกน้องเองก็ทำงานไม่ได้ ทำงานไม่เป็น ทำงานผิดพลาด เพราะนายมัวแต่หวงความรู้ เพราะกลัวว่าตัวเองจะหมดความสำคัญ แต่สุดท้ายก็ไม่มีอะไรที่ดีขึ้น ผิดกับการให้ความรู้ ผลจะทำให้ลูกน้องรู้มากขึ้น เก่งขึ้น และทำงานได้ดีขึ้น ผิดพลาดน้อยลง คนสอนเองก็รู้แน่นมากขึ้น เชี่ยวชาญมากขึ้น ซึ่งมันส่งผลดีต่อทั้งคู่ และสุดท้ายก็ส่งผลดีต่อองค์กรด้วยเช่นกันครับ
เครดิตที่มาของนิทานครับ
https://prakal.wordpress.com/2015/10/09/%E0%B8%99%E0%B8%B4%E0%B8%97%E0%B8%B2%E0%B8%99%E0%B8%AA%E0%B8%B5%E0%B8%82%E0%B8%B2%E0%B8%A7-%E0%B8%8A%E0%B9%87%E0%B8%AD%E0%B8%81%E0%B9%82%E0%B8%81%E0%B9%81%E0%B8%A5%E0%B8%95/
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น