ฮีโร่ของผม (MY HERO)



สมัยที่ผมยังเป็นเด็กซนคนหนึ่ง (๗-๘ปี) ที่เติบโตมาในย่านตลาดเก่าชานกรุงเทพฯ ผมเติบโตมากับเพื่อนทั้งรุ่นเดียวกันและรุ่นใหญ่ในตลาด  ในช่วงปิดเทอม จึงเป็นช่วงที่มีความสุขของเด็กนักเรียนโรงเรียนวัดอย่างผมมากๆ


มีผู้ใหญ่ที่เคารพท่านหนึงพูดว่า “เด็กสมัยนี้ ของเล่นเยอะ เขาเลยจะมีเพื่อนน้อย ไม่เหมือนเด็กเมื่อก่อน ที่เด็กๆจะมีของเล่นน้อย แต่กลับกัน จะมีเพื่อนเยอะ”  ในสมัยผม เรามีเพื่อนเยอะ เราจึงอยู่ไม่ติดบ้านเท่าไหร่ ความซ่าส์ของผมเป็นลำดับต้นๆของกลุ่มเพื่อนในวัยเดียวกัน ในแต่ละวันผมจะไปวิ่งเล่นจนเหนื่อยและจะกลับเข้าบ้านผุดเข้าผุดออก 


แต่มีอยู่บ้านหนึ่งผมเข้าออกบ่อย คือ บ้านเจ้าเป้ง บ้านเป้งเป็นตึกแถวสองชั้น เป็นร้านขายของชำ ขายข้าวสารทุกชนิด ขายสินค้าหลายอย่าง ผมได้เรียนรู้ลักษณะของเมล็ดข้าว ก็จากการมานั่งเล่นที่บ้านนี้ว่า  อะไรคือข้าวเหนียว  อะไรคือข้าวเสาไห้ หรือข้าวหอม etc.  สิ่งที่น่าสนใจที่สุดสำหรับผมที่อยู่ที่บ้านเป้ง คือ “ทีวี” หรือ “โทรทัศน์”


ในยุคนั้นหากบ้านไหนมีทีวีถือว่ามีฐานะพอสมควร บ้านเป้งมีทีวีสีตั้งอยู่บนเหล็กฉากแขวนติดไว้กับคาน เวลาดูต้องแหงนคอดู ไม่เกะกะร้าน ผมจะใช้เวลาส่วนใหญ่แอบตามมันกลับมาดูทีวีที่บ้านด้วยเสมอถ้ามีโอกาส และบางวันอาจไม่ได้ไปดูทีวี เพราะมีเรื่องทะเลาะกันกับเจ้าเป้ง ก็ไม่ไปดู (มีงอล) ไอ้เป้ง เป็นเพื่อนที่มีรูปร่างใหญ่  อวบหนา ตัวใหญ่กว่าผม คล้ายไจแอ้น กะโนบิตะ และใช่เลยผมจะมีเรื่องกับมันบ่อยที่สุด แต่ก็สนิทกัน พูดแล้วคิดถึงเจ้าเป้งเหมือนกันครับ  เพราะพอเวลาเราโตมา  เราต่างก็แยกย้ายไปตามเส้นทางของแต่ละคน พอได้ทราบเฉพาะเพื่อนบางคนที่ไม่ได้ย้ายบ้าน แล้วแม่ผมยังได้พูดถึงให้ฟังอยู่เวลาที่แกกลับไปเที่ยวหาเพื่อนๆที่ตลาดเก่า

ปู๋กับปลาทู พระราชนิเวศน์มฤคทายวัน หัวหิน

เย็นวันหนึ่งวันเกิดเหตุ  ปกติทุกๆเย็นจะมีพี่ๆรุ่นใหญ่จากหลังตลาด เขาเอานวมมาซ้อมชกมวยกันตรงลานจอดรถตรงกลาง  ผมเสร็จงานในบ้านแล้วจึงออกมาเดินเล่นนอกบ้าน  พี่กร ลูกลุงขายกาแฟ เรียกผมให้เข้าไปหา แกบอกว่า อยากซ้อมมวยรึปล่าว ซึ่งผมก็แบ่งรับแบ่งสู้ เพราะยังไม่รู้ว่าจะต้องต่อยกับใคร  และแล้วดวงไม่แคล้วกัน ผมเหลือบไปเห็น “เจ้าเป้ง” ถูกกำลังให้ใส่นวมอยู่ฝั่งตรงข้าม มีพี่ๆผู้ใหญ่หลายคนเริ่มล้อมวงเข้ามาดูว่า เราทำอะไรกัน  พอเดาได้ครับ ผมต่อยกับเจ้าเป้ง ยกแรกผ่านไปอย่างบอบช้ำ  ผมโดนอัดยับ ด้วยขนาดตัวที่เล็กกว่าหลายขุม แต่ผมยังไม่ยอม มีเสียงบ่นพวกพี่ๆ ว่าพวกมึงทำไมแกล้งมัน  มันสู้ไม่ได้ เลิกๆๆ ..... จนผมได้ยินเสียงจากทางด้านหลังที่ทำให้หัวใจเต้นแรงขึ้น คือเสียงพ่อผม  พี่กรกำลังอธิบายให้พ่อผมเข้าใจว่าเราเล่นกัน 

“พ่อ!! อย่าเพิ่งเข้ามา  เราซ้อมเล่นกัน เดี๋ยวเลิกแล้วไม่ได้ต่อยจริง!?!”  (แอบนึกในใจตาม  ว่าผมเจ็บจริงนะพี่กร!)


 “พ่อไม่ได้ว่าอะไร  พ่อจะขอดูหน่อย ว่ามันสู้คนเป็นไหม!?!”  พ่อผมบอกพี่กร  พร้อมขยับเข้ามาในวง

ปู่กับย่า ทำทำบุญสงกรานต์รามัญที่บ้านบางกระดี่


 คำพูดพ่อเหมือนมีพลังบางอย่างส่งมาให้ผม  หรือไม่  ผมอาจกลัว.. ไม่อยากแพ้ให้พ่อเห็น  ยกสองเริ่มขึ้น ผมวิ่งเข้าใส่เจ้าเป้งทันที ระดมหมัดเป็นชุดๆใส่หน้าใส่หัว ในใจคิดว่า ต้องคว่ำเจ้าเป้งให้ได้ พ่อจะได้ภูมิใจ

...  แต่ปราฏิหารณ์ไม่มีจริงครับ T.T 

ผมถูกเจ้าเป้งระดมหมัดกลับมาอีกหลายชุด จนพวกพี่ๆ เห็นว่าไม่รอดแน่หากปล่อยให้ชกต่อไปเลยยุติการชกไป แปลกดีนะครับ  เวลาที่คนชกกัน ไม่ต้องมีกรรมการมาบอก เราก็รู้สึกได้ว่าเราแพ้หรือชนะ  ผมก็เช่นกัน
 พ่อเดินมาหาผม ถามว่าเจ็บอะไรไหม เวลานั้นผมอยากร้องไห้.. ผมเจ็บ..ผมแพ้  แต่ผมตอบว่า “ไม่เจ็บ” พ่อลูบหัวผม ก่อนพูดกับผมว่า “ไม่ว่าแพ้หรือชนะ ป๊าภูมิใจที่ลูกกล้าที่จะสู้.. ไป! กลับบ้านอาบน้ำ แม่ทำกับข้าวรอแล้ว”

ปู่กับหลานๆ ปลาเข็ม ๓ขวบ ปลาทู ขวบหน่อยๆ


 วันนั้นถึงผมจะแพ้เจ้าเป้งอย่างไม่เป็นท่า  แต่การได้เดินกลับบ้านกับพ่อในครั้งนั้น  มันมีความสุขอยู่ในใจครับ  จนทุกวันนี้ บางทีผมยังนึกอยู่บ่อยเวลาที่อะไรไม่เป็นไปอย่างที่เราคาดหวังว่า "ความพ่ายแพ้ ความล้มเหลว อีกมุมมองนึงก็จะมีเรื่องราวดีๆ และมีพลังแฝงซ่อนอยู่  ที่บางทีเราแพ้บ้างก็ได้ครับ" 


ปู่กับย่า ที่พระอุโบสถ พระพุทธชินราช
     


ทริปหัวหิน ปี 2558

อ๋า 

กรกฏาคม 2558  

ความคิดเห็น

  1. ตามมาชมนะครับคุณอ๋า :)

    ตอบลบ
    คำตอบ
    1. ขอบคุณครับพี่อาร์ท ที่แวะมาเจิมกระทู้ครับ

      ลบ

แสดงความคิดเห็น