ฝารั่ง ป๊อก ป๊อก กับ เด็กเตรียมอนุบาล.... >>Yes we're ♥



การเป็นฝรั่ง ป๊อก ป๊อก ของป่าปี๊วันนี้ มีที่มาจากหมู่บ้านเด็กสองภาษา http://go2pasa.ning.com ที่ทำให้เป็นแรงบันดาลใจให้อยากทำบางสิ่งที่จะต่อยอดให้กับลูกของตัวเองได้บ้างครับ ปลาเข็มถูกตาฝารั่งป๊อกๆ คนนี้พูดภาษาอังกฤษงูๆ ปลาๆ ใส่ตั้งแต่เขาเริ่มสื่อสารได้ครับ คงต้องบอกเหมือนพ่อแม่ในหมู่บ้านเด็กสองภาษาพูดให้กำลังใจกันว่า "เราทำได้ครับ ลูกเราก็ทำได้ ขอแค่เราได้เริ่มทำครับ"

ผมเชื่อของผมเองอย่างหนึ่งว่า "
การได้รู้สองภาษาเป็นความสามารถที่ติดตัวไปจนโต และยังสามารถนำพาเขาไปสู่โลกกว้างใบนี้ได้สะดวกยิ่งขึ้นด้วยครับ" อันนี้อาจไม่เกี่ยวกับอะไรเลย อาจเกี่ยวกับการท่องเที่ยวเป็นหลัก...

เด็กๆ มีพื้นที่รอรับข้อมูลจากเราเยอะมากครับ บางครั้งเราพูดไม่ทันจำได้เขากลับจำได้ และหลายครั้งที่ถูกลูกสาวคนนี้ย้อนเกล็ดอยู่บ่อยๆ

บางวันของการคุยกันด้วยภาษาอังกฤษ ถ้าปลาเข็มไม่อยากพูดเขาจะบอกกลับมาทันทีว่า
"ป่าปี๊อย่าพูดภาษาอังกฤษ..ติ!!" และถ้าป่าปี๊ ตื้อพูดอีก เขาจะเมินเฉยไม่เล่นด้วยกันไปเลยทีเดียว




ในช่วงแรกๆ ท่านผู้รู้แนะนำกันว่าให้แบ่งกันพูดครับ สามีภรรยาเลือกเอาว่าใครจะพูดภาษาไหน และลุยไปเลย ภาพที่เขาให้จินตนาการไว้คือภาพคุณแม่คนไทยที่มีสามีเป็นฝรั่ง พ่อพูดฝรั่งปาวๆๆ แม่พูดไทยปาวๆๆ ผลลัพท์ = เด็กพูดได้สองภาษา (สำหรับผมถือว่าเป็นตัวอย่างที่เห็นภาพชัดเจน)

ปัญหาแรกของการพูดภาษาที่สองกับลูกนั้น ผมพบปัญหาหลักๆ คือ "ตัวเอง" ความเขินอาย การอายคนรอบข้าง กลัวความคิดคนอื่นจะหาว่ากระแดะ ลักษณะเลยเป็นการเริ่มจากคุยกันแค่สองคน ในที่ที่มีกันสองคนเท่านั้น ที่บ้าน...หรือระหว่างนั่งกันไปในรถ... แต่พอได้อ่านหนังสือ อ่านบทความเยอะขึ้น เราเลยเข้าใจว่าระยะทางกว่าจะถึงวันที่ลูกเข้าใจ พูดได้คงไม่ง่ายแน่ จึงต้องอดทนเยอะขึ้น เพราะเปรียบเทียบกับตัวเองว่ากว่าผมจะหูกระดิกภาษาที่สองก็เมื่อตอนทำงานกับชาวต่างประเทศหลังจากเรียนจบปริญญานี้เองครับ

ปัญหาถัดไปคือการไม่มั่นใจในภาษาที่คุยกันกับลูกไปนั้นมันถูกไวยกรณ์ ถูกหลักที่แท้จริงหรือปล่าว เพราะไม่เก่งเรื่องนี้เลย ยังจำได้ว่าตอนสัมภาษณ์งานใหม่ๆ พี่เอ๋ เจ้านายคนปัจจุบันถามผมว่า ใช้ภาษาอังกฤษได้ในระดับไหน ผมก็ตอบพี่เขาไปว่า ภาษาอังกฤษที่ผมใช้เป็นระดับ เอ็นเตอร์เทรนเม้น (Entertainment) ครับ คือ พาฝารั่งกินเหล้า เป็นเพื่อนคุย เที่ยวกลางคืนได้เฉยๆ <อ๊ายอาย อย่าบอกใครเชียว>

และเมื่อความคิดมันตกผลึกมากขึ้นคือไม่อาย ไม่แคร์สื่อแล้ว การพูดภาษาที่สองกับลูกจึงเริ่มไม่เขอะเขินคนรอบข้าง นึกในหัวอย่างเดียวว่า

"เพื่อลูก...เพื่อลูก ต้องทำให้ได้"

ลุงบิ๊ก เจ้าของเวปสองภาษาเคยเล่าในรายการทีวีว่าแรกๆ พี่เขาก็ใช้ภาษาไม่เก่งแต่พอต้องใช้พูดกับลูก ก็จะต้องไปคิดมา ไปสืบถามหามาเพื่อที่จะใช้พูดกับลูกให้ได้ ผลคือปัจจุบันเขาก็ใช้ภาษาดีขึ้นมากๆและตอนนี้ก็กำลังหัดภาษาที่สามกับลูกสาวตัวเองอยู่คือ ภาษาจีน ^^


เป็นเรื่องที่ผมทึ่งในตัวผู้ชายคนนี้มากจริงๆ ..



อีกคนหนึ่งที่ผมทึ่งเธอมากนั้นเป็นผู้หญิงเขียนหนังสือเกี่ยวกับเด็กเยอะมาก คือ คุณหนูดี ...คุณหนูดีเธอบอกว่า สภาพบ้านน่าอยู่ ส่งผลต่อสมองและการรับรู้ของเด็ก ผมนั่งอ่านหนังสือของเธอเรื่อง "บ้านใหม่ถูกใจสมอง" ปืดเดียวจบ แล้วตอบโจทย์ตัวเองเลยว่า "ผมเชื่อเธอและอยากทำตาม" Core Part หนึ่งของหนังสือเล่มนี้บอกเกี่ยวกับสมองของเจ้าตัวเล็กๆ ของเราว่า "สมองเด็กๆจะกระตุ้นการเรียนรู้ด้วย "ความท้าทาย" ไม่ใช่ด้วย "การข่มขู่" นะครับ

เธอยังบอกผมอีกว่า "สมองย่อยข้อมูลทั้งภาพรวมและภาพละเอียดปลีกย่อยพร้อมๆกัน"
และที่นึกได้และสามารถนำมาต่อยอดกับพัฒนาการด้านภาษาของพี่เข็มเราได้นั้นคือ การที่ผมจะติดคำภาษาไทย ชื่อของอุปกรณ์ต่างๆในบ้าน พร้อมด้วย คำในภาษาที่สอง ไปทั่วๆทุกอย่าง ความตั้งใจก็เพื่อที่จะให้ปลาเข็มเกิดความคุ้นชินกับลักษณะตัวอักษรทั้งภาษาไทย และตัวอักษรภาษาอังกฤษ จากการที่เขา่ผ่านตาทุกๆ วันและสามารถจดจำต่อไปในอนาคตได้ ก็ยิ่งจะดีมากครับ




เช้าวันหนึ่ง คุณแม่ปลา ไปส่งพี่ปลาเข็มที่โรงเรียน คุณครูที่มารอรับแอบเม้าท์พี่เข็มให้แม่ฟังว่าเมื่อวานมีเรื่องให้ยิ้มเกิดขึ้นหนึ่งเรื่อง ...

คุณครูเล่าว่า ระหว่างในชั่วโมงเรียนทั่วไปภาคบ่าย คุณครูกำลังสอนเรื่องสีของสิ่งต่างๆรอบตัวและคุณครูเรียกให้เพื่อนของเข็มคนหนึ่งในห้องลองตอบเรื่องสีของสิ่งของที่มือคุณครูอยู่

ปรากฎว่าเพื่อนคงกำลังนึกอยู่ แต่คงนึกนานไปนิดนึง ไม่ตอบคุณครูซักที พี่่เข็มซึ่งนั่งลุ้นรอฟังคำตอบอยู่ซักพักแล้ว จึงโพล่งลุกขึ้นยืนตอบแทนเพื่อนไปเลยว่า

ปลาเข็ม : " ก็..สี..พิ๊งค์ ไง!!! "


กลับมาบ้านป่าปี๊กับม่ามี๊แอบมานั่งนินทาลูกกันสองคนว่า "พี่เข็มเนี๊ยะ...เอาหน้ามากเลย ลูก.."

ป่าปี๊เอง


ความคิดเห็น